ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ใครไม่เคยได้ยินชื่อหนังสือแนวพัฒนาตัวเอง “7 Habits of Highly Effective People” ถือว่า “เอาท์” มาก ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้ถูกโหวตให้เป็นหนังสือทรงอิทธิพลที่สุดในด้านธุรกิจของศตวรรษที่ยี่สิบด้วย ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเนื้อหาก็ยังคลาสสิก และสร้างแรงบันดาลใจให้คนทุกรุ่นอยู่เสมอ วันนี้ อ. ผึ้ง จะพาไปคุยเรื่องสมการความสำเร็จ ที่เริ่มได้ด้วยการเปลี่ยนอุปนิสัยของเราเอง จากหนังสือเล่มนี้ค่ะ
อ. ผึ้ง อ่านหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกช่วงที่ยังทำงานสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในยุคนั้น ถึงแม้หนังสือแนวพัฒนาตัวเองจากต่างประเทศจะเริ่มเป็นที่นิยมในเมืองไทย และเริ่มถูกนำมาแปลภาษาไทยมากขึ้น แต่ อ. ผึ้ง เลือกอ่านเฉพาะเวอร์ชั่นต้นฉบับภาษาอังกฤษเท่านั้น ด้วยหลักการที่ว่า การอ่านหนังสือในภาษาต้นฉบับทำให้เราเข้าใจความคิดของผู้เขียนได้ลึกซึ้ง และตรงแก่นมากกว่า เหมือนการนั่งฟังผู้เขียนบอกเล่าเรื่องราวแบบตัวต่อตัว โดยไม่ผ่านล่าม ข้อดีของการอ่านต้นฉบับคือ เราสามารถเข้าถึงระดับ “อารมณ์” ของคำศัพท์ และมองทะลุไปถึง “แนวคิดแฝง” ที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ได้แม่นยำมากกว่าฉบับแปล
ช่วงนั้นเพื่อนอาจารย์ฝรั่ง 2 คน แนะนำหนังสือแนวพัฒนาความคิดให้พร้อมกัน 2 เล่ม (โดยมิได้นัดหมาย) เล่มแรกคือ “7 Habits of Highly Effective People” โดย Stephen Covey และอีกเล่มคือ “Who Moved My Cheese?” โดย Spencer Johnson เนื้อหายอดเยี่ยมและเป็นหนังสือขายดีทั่วโลกทั้งคู่ และแน่นอนว่า อ. ผึ้ง ต้องนำมาเล่าให้ทุกคนฟังทั้งสองเล่ม แต่ในบทความนี้เรามาคุยเรื่องการเปลี่ยนอุปนิสัยให้ชีวิตสำเร็จกันก่อนนะคะ
1. Be Proactive เริ่มลงมือก่อน
จริงๆ แล้วคำว่า “Proactive” หมายถึง เชิงรุก แต่สำหรับอุปนิสัยนี้ หมายถึงการเป็นคนใช้ชีวิต ทำงาน หรือตัดสินใจแบบเชิงรุก (ซึ่งตรงข้ามกับการเป็นคนเชิงรับ) เป็นคนพร้อมที่จะลุกขึ้นมารับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร และจะไม่กล่าวโทษโชคชะตา สถานการณ์ หรือคนรอบข้าง
คนที่ประสบความสำเร็จเชื่อว่าชีวิตคือผลลัพธ์ของการตัดสินใจของตัวเอง
2. Begin with the End in Mind เริ่มต้นด้วยเป้าหมายสุดท้าย
คนทั่วไปมักใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ความต้องการของตัวเอง และไม่เคยฉุกคิดหรือวางแผนชีวิตในวันข้างหน้า
แต่คนที่ประสบความสำเร็จจะเริ่มต้นจากเป้าหมายสุดท้าย และเป็นเป้าหมายที่ชัดเจน โดยถามตัวเองถึงไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ แล้วมองย้อนกลับมาว่าวันนี้จะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ชีวิตเดินไปตามสเต็ป และไปถึงจุดหมายนั้น
3. Put First Thing First ทำสิ่งสำคัญก่อน
คนส่วนใหญ่เลือกทำงานที่ตัวเองอยากทำก่อน หรือทำสิ่งที่ง่ายก่อน โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญของงาน แต่คนสำเร็จจะเข้าใจหลักการวางแผนลำดับเวลาเป็นอย่างดี
การแบ่งงานที่เรามีอยู่เป็น 4 ประเภท ได้แก่ สำคัญ-เร่งด่วน, สำคัญ-ไม่เร่งด่วน, ไม่สำคัญ-เร่งด่วน และไม่สำคัญ-ไม่เร่งด่วน ทำให้เราสามารถเลือกจัดการกับลำดับงาน และโฟกัสได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นคนที่งานยุ่งทั้งวัน แต่แทบไม่ได้เนื้องานเป็นชิ้นเป็นอันเลย
อ. ผึ้ง แนะนำเพิ่มว่า เราควรมีสมุดโน้ตสักเล่มเพื่อวางแผนงานแต่ละวัน หรือมีเช็คลิสต์สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนเริ่มงานชิ้นใหม่ด้วยนะคะ อ. ผึ้งเองก็มีไดอารี่หรือสมุดบันทึกงานที่ต้องทำและทำเสร็จแล้ว เพื่อเตือนความจำและทบทวนตัวเองทุกวัน

ทำสิ่งสำคัญก่อนโดยต้องเข้าใจหลักการวางแผนลำดับเวลาและความสำคัญของงาน
4. Think Win-Win คิดแบบชนะทั้งสองฝ่าย
การคิดอย่างถูกต้องเป็นอุปนิสัยสำคัญของคนสำเร็จ การคิดแบบ “win-win” ก็คือการชนะทั้งสองฝ่าย นั่นคือการเน้นสร้างประโยชน์ร่วมกัน การเปิดใจและเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้มีเพียงพอสำหรับทุกคน เราไม่จำเป็นต้องแข่งขันแย่งชิงจากใคร
การคิดแบบนี้ทำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยค่ะ
5. Seek First to Understand, Then to be Understood เข้าใจผู้อื่นก่อน
แทนที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นมาเข้าใจความต้องการของเรา การพยายามทำความเข้าใจผู้อื่นก่อน และตั้งใจฟังสิ่งที่เขาต้องการสื่อออกมาย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า การเข้าใจผู้อื่นหมายถึงการเปิดใจ รับฟังมุมมองของเขาก่อน สิ่งนี้จะทำให้อีกฝ่ายเปิดใจและเข้าใจมุมมองของเราได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
6. Synergise ทำงานเป็นทีม
บางคนอาจมองว่าการทำงานคนเดียวสบายใจกว่าก็จริง แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่าคนสำเร็จมักมองหาการร่วมมือจากทีมงาน หรือการทำงานแบบทีมเวิร์กค่ะ เพราะเขาเชื่อว่าการร่วมมือกันทำให้เราสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้หลากหลายกว่า และทำให้งานสำเร็จได้เร็วขึ้นด้วย
สำหรับข้อนี้ อ. ผึ้ง ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า ทีมงานที่ดีควรมีมุมมองไปในทางเดียวกัน และมีความสามารถในระดับใกล้เคียงกันด้วยนะคะ ไม่อยากนั้นทีมเวิร์ก…อาจไม่เวิร์ก
7. Sharpen the Saw พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
คำว่า “Sharpen the saw.” เป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่ฝรั่งใช้กันบ่อยค่ะ ถ้าแปลตรงๆ คือ การลับคมเลื่อย ซึ่งหมายถึง การลับคมสมองหรือทักษะเครื่องมือที่เรามีให้พร้อมใช้งานได้เสมอ
ต่อให้เราเคย “เรียนรู้” และ “ลงมือทำ” มากมายแค่ไหน แต่ถ้าไม่คอยฝึกฝนทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ไม่นานก็ลืม เพราะฉะนั้น การลับคมเลื่อยก็คือการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะคนสำเร็จคือคนที่รู้จักการปรับตัว รู้จักยืดหยุ่น และสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาได้ตลอดเวลา

สรุปแนวคิดหลักของหนังสือเล่มนี้ที่ อ. ผึ้ง ชอบก็คือโมเดลการเปลี่ยนอุปนิสัยแบบ “Inside-Out” หรือ “การเปลี่ยนจากภายในสู่ภายนอก” ซึ่งเป็นปรัชญาที่ Stephen เน้นย้ำมาก การสร้างนิสัยความสำเร็จไม่ได้เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงคนรอบตัวหรือสิ่งแวดล้อม แต่เปลี่ยนจากอุปนิสัยภายในตัวเองก่อนต่างหาก แล้วสิ่งแวดล้อมของเราจะเปลี่ยนตาม
สำหรับคนที่อยากพัฒนาตนเองสู่ความสำเร็จทุกด้าน วันที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นคือ “วันนี้” ค่ะ เราสามารถเริ่มได้ทันทีจากสิ่งเล็กๆ ก่อน เพราะพฤติกรรมเล็กๆ และความคิดซ้ำๆ ของเราในแต่ละวัน จะสะสมเพิ่มพูนจนกลายเป็น นิสัย ตัวตน ทักษะ ความรู้ ความชำนาญ และในที่สุดจะนำเราไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายที่เราต้องการ
บทความมีลิขสิทธิ์ : ขอบคุณที่ไม่คัดลอก หรือดัดแปลงเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อก่อนได้รับอนุญาต
สำหรับผู้ที่สนใจภาษาอังกฤษแบบมือโปร เพื่อพัฒนาการทำงานของคุณก้าวขึ้นอีกระดับ ติดตามอ่านความรู้ดีๆ หรือลงคอร์สเรียนภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ เทคนิคคำศัพท์ เทคนิคการพัฒนาสมอง และความจำ ได้ที่ Website : ajarnarada.com และ Facebook อ. ผึ้ง อารดา : English Brain